ฟุตบอลยังไม่กลับบ้าน : ประวัติศาสตร์ความผิดหวังเกือบ 60 ปีของทีมชาติอังกฤษ

Maruak Tanniyom

July 15, 2024 · 2 min read

ฟุตบอลยังไม่กลับบ้าน : ประวัติศาสตร์ความผิดหวังเกือบ 60 ปีของทีมชาติอังกฤษ
Football | July 15, 2024

เจ็บแบบซ้ำๆ จบแบบช้ำๆ อีกครั้งสำหรับทีมชาติอังกฤษ หลังพ่ายต่อสเปน 2-1 และทำได้เพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์ยูโร เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

นั่นทำให้วลี “It’s coming home” จากเพลง Three Lion ที่แฟนบอลสิงโตคำรามชอบร้องกัน ยังคงต้องรอต่อไป

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมชาติอังกฤษ พบกับความผิดหวังในแบบที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว และนี่ก็คือความชอกช้ำ ราวกับถูกต้องสาปของพวกเขาตลอด 60 ปีที่ผ่านมา

ติดตามเรื่องราวไปพร้อมกัน

อังกฤษ ถือเป็นชาติที่เชื่อมั่นในความสามารถด้านฟุตบอลของตัวเองมาก เนื่องจากพวกเขาคือต้นกำเนิดของฟุตบอลสมัยใหม่ ที่มีกฎกติกาอย่างชัดเจน หรือ Law of Game ทั้งเรื่องวิธีการเล่น, จำนวนผู้เล่น และขนาดของสนาม

นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นชาติแรกของโลกที่ก่อตั้งสมาคมฟุตบอล และเป็นสมาคมกีฬาแรกของโลกในปี 1863 ที่ทำให้พวกเขาใช้ชื่อว่า The Football Association ซึ่งเป็นชาติเดียวที่ไม่มีชื่อประเทศในชื่อสมาคมฯ

ทว่า แม้ว่าจะเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล แต่อังกฤษ ก็เป็นทีมที่แทบไม่มีโทรฟีประดับตู้โชว์เพราะนอกจากแชมป์โลกครั้งเดียวในปี 1966 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ สิงโตคำรามก็ไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ใดได้เลย

แชมป์ที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันพวกเขา ที่อาจจะพอพูดได้ก็คือเหรียญทองโอลิมปิก 3 สมัย แต่นั่นก็เกิดขึ้นมามาตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว (1900, 1908, 1912) แถมยังเป็นการเข้าร่วมในนามสหราชอาณาจักร (อังกฤษ, สก็อตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ)

แต่ใช่ว่าพวกเขา จะไม่เคยเข้าใกล้กับความสำเร็จ เพียงแค่มันอยู่ในสถานะ “เกือบ” เท่านั้น

เริ่มจากยูโร 1968 หรือ 2 ปีหลังจากคว้าแชมป์โลก ตอนนั้นพวกเขาถูกคาดหวังว่ากำลังจะสร้าง “ยุคสมัย” ของตัวเองได้ หลังผ่านรอบคัดเลือกด้วยการแพ้เพียงแค่เกมเดียว จนได้เข้ามาเป็นหนึ่งใน 4 ทีมในรอบสุดท้าย

แต่ความฝัน ก็ต้องพัทลายลง เมื่อมาโดน ดราแกน ดซาจิค ยิงประตูโทนหลังหมดเวลาเพียงแค่ 4 นาที ถีบพวกเขาตกรอบรองชนะเลิศไปอย่างสุดช็อค ทว่า โชคยังดีที่ในนัดชิงที่ 3 กับ สหภาพโซเวียต พวกเขาเอาชนะมาได้ 2-0 ไม่งั้นคงจะกร่อยน่าดู

จากนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาถูกสาปให้ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นการทำได้เพียงรอบที่ 2 ในฟุตบอลโลก 1970 หรือการต้องพลาดไปเล่นเวิลด์คัพรอบสุดท้าย 2 สมัยติดต่อกันในปี 1974 และ 1978

แถมในฟุตบอลโลก 1986 ที่อังกฤษเริ่มกลับมาได้ พวกเขาก็มาโดนฤทธิ์ “หัตถ์พระเจ้า” ของ ดิเอโก มาราโดนา ที่ชกบอลเข้าไปประตูไปให้อาร์เจนตินา ออกนำ ก่อนจะพ่ายไป 2-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

อันที่จริง 4 ปีหลังจากนั้น คือยุคที่สิงโตคำราม มีความหวังมากที่สุด เมื่อการผสมผสานระหว่างผู้เล่นตัวเก๋าและผู้เล่นสายเลือดใหม่ ภายใต้การคุมทีมของ ไบรอัน ร็อบสัน กลายเป็นความลงตัว

พลพรรคทรีไลออนส์ชุดนั้น กลายเป็นทีมเขี้ยวลากดิน ที่อาจจะยิงประตูไม่ได้ถล่มทลาย แต่ก็สามารถรักษาผลการแข่งขันที่ต้องการ จนเข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายในเวิลด์คัพ 1990

ขณะเดียวกัน แม้ว่าในรอบรองชนะเลิศกับเยอรมันตะวันตก พวกเขาจะโดน อันเดรส เบรเมห์ ยิงออกนำไปก่อน แต่ แกรี ลินีเกอร์ ก็มาตามตีเสมอในช่วง 10 นาทีสุดท้าย และสุดท้าย ก็ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ

แต่นั่นก็เหมือนเหมือนจุดเริ่มต้นจุดโทษอาถรรพ์ของ อังกฤษ เมื่อมายิงพลาดตอน 2 คนสุดท้าย พ่ายไปอย่างน่าเสียดาย แถมนัดชิงที่ 3 ยังปราชัยให้กับ อิตาลี อย่างเจ็บปวด

หลังจากนั้น อังกฤษกับ จุดโทษ ก็กลายเป็นของแสลง ที่ไม่ว่าพวกเขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ก็ต้องมีอันต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปก่อน

ไล่ตั้งแต่ ยูโร 1996 ที่เข้ามาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย ก่อนจะมาแพ้ให้กับ เยอรมัน กริเก่าเมื่อ 6 ปีก่อน, ฟุตบอลโลก 1998 กับ อาร์เจนตินา ในรอบ 2 หรือ โปรตุเกส 2 ครั้งซ้อน ที่ต่างเกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทั้งยูโร 2004 และฟุตบอลโลก 2006 ไปจนถึงกับ อิตาลี ใน ยูโร 2012

นอกจากนี้ อังกฤษ มักจะมาเจอเรื่อง “เฮี้ยน” อยู่บ่อยๆ จนทำให้ไม่สมหวัง ยกตัวอย่างเช่นในฟุตบอลโลก 1998 ที่เดวิด เบ็คแฮม ไปน็อตหลุดจนโดนใบแดง ในเกมกับ อาร์เจนตินา จนถูกไล่ออก ก่อนจะพ่ายไปในการยิงจุดโทษ

หรือ ยูโร 2000 ที่อังกฤษต้องการเพียงแค่คะแนนเดียว ในเกมนัดสุดท้ายกับ โรมาเนีย ก็จะเข้ารอบ แต่ฟิล เนวิลล์ ก็ดันมาทำฟาล์วอย่างทะเล่อทะล่าจนเสียจุดโทษในนาทีที่ 89 ก่อนจะถูกยิงพ่ายไป พร้อมกับตกรอบแบบช็อคทั้งทัวร์นาเมนต์

แต่ที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือ ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ เยอรมัน ที่แฟรงค์ แลมพาร์ด ยิงบอลข้ามเส้นไปแล้ว ตอนทีมตามอยู่ 2-1 แต่ผู้ตัดสินไม่เห็น จนสุดท้ายพวกเขาพ่ายไปอย่างขาดลอย 4-1

เช่นกันสำหรับ ฟุตบอลโลก 2018 ที่สิงโตคำรามเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ อย่างเซอร์ไพรส์ แถมยังเป็นฝ่ายออกนำ โครเอเชีย ตั้งแต่ต้นเกม จาก คีแรน ทริปเปียร์ ทว่า วิมานของพวกเขาต้องพังทลายลงอีกครั้ง หลังโดนตีเสมอในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะมาโดนทีเด็ดของ มาริโอ มานด์ซูคิช ในช่วงต่อเวลาพิเศษ พ่ายไปในท้ายที่สุด

ก่อนที่มันจะมาซ้ำเติมพวกเขาในอีก 2 ปีต่อมาที่ อังกฤษ เข้าไปชิงชนะเลิศในยูโร ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็โดนความเคี่ยวของ อิตาลี ยันเสมอ 1-1 ใน 120 นาที และเอาชนะไปได้ด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง

ทำให้การพลาดแชมป์ของทรีไลออนส์ ในยูโร 2024 ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องเจอกับความผิดหวังมาตลอดเกือบ 60 ปี แต่ คงจะเรียกว่าความเคยชินคงไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครอยากจะคุ้นชินกับอะไรแบบนี้

แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าอังกฤษจะไม่มีหวัง เพราะพวกเขาถือเป็นทีมที่ผลิตนักเตะระดับคุณภาพมาประดับวงการได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีระบบเยาวชนที่แข็งแกร่ง

นอกจากนี้ หากไม่นับโทรฟี อังกฤษ ก็ถือว่าเข้าใกล้ความสำเร็จไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น การเข้าชิงชนะเลิศยูโร 2 สมัยติด ไปจนถึงการคว้าอันดับ 4 ฟุตบอลโลก ในรอบเกือบ 20 ปี

เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า แชมป์เมเจอร์แรกของพวกเขาจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไร ก็เท่านั้นเอง