ยิ่งกว่าทอดด์ โบลีห์: รู้จักประธานจอมเชือด ที่ใช้โค้ช 40 คนในรอบ 20 ปี

Maruak Tanniyom

May 22, 2024 · 1 min read

ยิ่งกว่าทอดด์ โบลีห์: รู้จักประธานจอมเชือด ที่ใช้โค้ช 40 คนในรอบ 20 ปี
ฟุตบอล | May 22, 2024

ถือว่าเป็นข่าวช็อคสำหรับแฟนเชลซี เมื่อ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน เฮดโค้ชของทีม ต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างกระทันหัน ทั้งที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในครึ่งฤดูกาลหลัง

ทำให้ในยุคของ ท็อดด์ โบห์ลี เชลซี ใช้โค้ชไปแล้วถึง 3 คน (ไม่รวมรักษาการณ์) ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี

อย่างไรก็ดี การใช้โค้ชเปลืองของ โบห์ลี อาจจะยังสู้ เมาริซิโอ ซามปารินี อดีตประธานสโมสรปาร์แลร์โมไม่ได้ เพราะนอกจากจะขยันปลดแล้ว เขายังตั้งคนเก่าเข้ามารับตำแหน่งใหม่อีกด้วย

สำหรับ ซามปารินี ที่ร่ำรวยจากการเป็นนักธุรกิจ ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับ ปาแลร์โม คตั้งแต่ปี 2002 หลังรวบรวมเงินทุนเข้ามาซื้อทีมตั้งแต่ทีมยังอยู่ใน เซเรียบี

เป้าหมายของเขาในตอนนั้นคือแชมป์สคูเด็ตโต โดยมีรูปแบบการทำทีมแบบซื้อมาขายไป จนทำให้ทีมสามารถเลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรียอา ในฤดูกาล 2004-2005 ก่อนจะจบในตำแหน่งตัวตาราง พร้อมได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในยูฟ่า คัพ อย่างเซอร์ไพรส์

ทว่า แม้ว่าทิศทางของทีมจะกำลังไปได้สวย แต่หลังจากนั้น ปาแลร์โม ก็เป็นทีมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางปีก็เป็นทีมหัวตาราง บางทีอยู่กลางตาราง แถมบางปีต้องมาดิ้นรนหนีตกชั้น

และ ซามปารินี ก็คือเหตุผลสำคัญ เพราะเขามักจะเข้ามาแทรกแซงการทำงานของโค้ชอยู่ตลอด และหากใครขัดใจเขา คำตอบเดียวก็คือไล่ออกสถานเดียว

เนื่องจาก ซามปารินี มีการบริหารงานแบบ “เผด็จการ” คำพูดของเขาคือเด็ดขาด ทุกคนมีหน้าที่แค่พยักหน้าตามสั่งของเขาเพียงอย่างเดียว ทำให้ตลอด 17 ปีกับ ปาร์แลร์โม เขาแต่งตั้งโค้ชไปแล้วกว่า 40 ครั้ง หรือเฉลี่ย 2 คนต่อ 1 ฤดูกาล จเป็นที่รู้จักในฐานะ “ประธานจอมเชือด”

แต่ที่สำคัญกว่านั้น สำหรับโค้ชบางคน หลังจากปลดออกไปแล้ว ซามปารินี ยังตั้งกลับเข้ามารับตำแหน่งในเวลาต่อมา เรียกได้ว่า ปลด ตั้ง ปลด ตั้ง แบบวนลูปไปมา

หนึ่งในนั้นคือ ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน ที่ถูกเขาปลดถึง 4 ครั้ง เริ่มจากในเดือนเมษายน 2007 ที่เขาโดนเด้ง แต่หลังจากนั้นอีกเดือนเดียว ก็เรียกเขามาคุมทีม จากนั้นในเดือนมิถุนายน ก็ปลดอีกครั้ง ราวกับเก้าอี้ดนตรี

“ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน คือคนที่เก่งที่สุดที่ผมเคยจ้าง แต่ยังมีคนเก่ง ๆ อีกหลายคนที่เคยทำงานกับผมทั้ง ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ, อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่, เซซาเร่ ปรันเดลี่ และ จามเปาโล เวนตูร่า เป็นต้น” ซามปารินี กล่าว

“มันมีหลายอย่างเกิดขึ้น ยกตัวอย่างนะ โค้ชอย่าง เวนตูร่า เนี่ยเก่งอยู่นะ แต่เขาเป็นโค้ชทีมใหญ่ไม่ได้หรอก เขาเป็นพวกชอบเก็บตัว นิสัยไม่ค่อยเปิดเผยเท่าไหร่ และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมถึงไล่เขาออก”

หรือโค้ชหลายคน ก็เคยคุมทีม ปาแลร์โม ในยุคของ ซามปารินี อย่างน้อย 2 ครั้ง ไล่ตั้งแต่ ซิลวิโอ บัลดินี, สเตฟาโน่ โคลันทูโอโน, เดลิโอ รอสซี, จาน ปิเอโร กาสเปรินี, ดาวิเด บายาร์ดินี ไปจนถึง จูเซปเป ซานนิโน แต่ทั้งหมดทั้งมวล ไม่มีใครมีมีอายุงานเกิน 6 เดือนเลย

นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่โค้ชเท่านั้น คนที่เคยร่วมงานกับเขาบางคนก็มีประสบการณ์ถูกไล่ออก แล้วดึงตัวกลับมา เช่นกันสำหรับ ริโน ฟอสชี อดีตผู้อำนวยการฟุตบอลของ ปาแลร์โม

“ซามปารินี เป็นคนที่ต้องการมีส่วนร่วมในทุกการตัดสินใจของสโมสร เรามีประวัติการเลือกใช้โค้ชที่เลวร้ายมากเลยนะ หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ จูเซ็ปเป้ ปาปาโดปูโล” ฟอสชี ย้อนความหลัง

“ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามา ลุยจิ เดลเนรี คุมทีมแพ้ เซียนา ในเกมวันอาทิตย์ จากนั้นนักข่าวก็บอกว่า จิจี เดลเนรี ได้ถูกไล่ออกไปแล้ว โดยที่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปที่บ้านของ ซามปารินี และพบว่ามี ปาปาโดปูโล รออยู่ก่อนแล้ว ผมเริ่มบอก ซามปารินี ว่าการเลือกเขาคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่เขาก็ตบหน้าผมและไล่ผมออกในวันต่อมา”

“ผมตกงานได้ไม่นาน ซามปารินี่ ก็โทรมาหาผมหลัง ปาปาโดปูโล พาทีมแพ้ 2 เกมติด ‘นี่แกคิดว่าเขาไม่ไหวจริง ๆ เหรอ ? งั้นแกรีบกลับมาทำงานเลย’ ผมบอกว่าเขาไม่ไหวจริง ๆ จากนั้น ซามปารินี ก็ฟังผมและแต่งตั้ง กุยโดลิน คนที่เขาเพิ่งปลดจากตำแหน่งมาเป็นโค้ชอีกครั้ง”

ทั้งนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ซามปารินี ใช้โค้ชเปลืองขนาดนี้ ก็คือระบบการปลดโค้ชของอิตาลี คือแม้จะไล่ออกจากตำแหน่ง แต่พวกเขายังคงอยู่กับทีม เพราะการไล่ออก เป็นเหมือนการริบหน้าที่และภาระงานไปให้คนอื่นทำเท่านั้น และพอคนใหม่ทำได้ไม่ดี ก็สามารถดึงคนเก่ากลับมาได้ทันที เนื่องจากพวกเขายังกินเงินเดือนอยู่กับสโมสร

แต่ถ้าหากโค้ชคนดังกล่าว ต้องการจะไปคุมสโมสรอื่น ก็จะต้องยกเลิกสัญญาด้วยความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย และที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพราะต้องการเลี่ยงการจ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาลจากการฉีกสัญญา

แน่นอนว่า การตั้ง ๆ ปลด ๆ ย่อมส่งผลกระทบในระยะยาวต่อทีม จนสุดท้าย ปาแลร์โม ก็มีอันต้องตกชั้นลงไปเล่นในเซเรีย บี ในปี 2016-2017 และทำให้ ซามปารินี ปลดตัวเองออกจากประธาน เพื่อรอกลุ่มทุนใหม่เข้ามาเทคโอเวอร์

แต่ไม่ทันที่จะได้เจ้าของใหม่ ซามปารินี ก็ดันมาตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน จากการขายแบรนด์ ปาแลร์โม ให้บริษัทที่เขาจ้างมา ก่อนจะซื้อกลับมาในราคาถูก เพื่อปิดบังตัวเลขขาดทุนที่แท้จริง และซ่อนหนี้จากกลุ่มทุนที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ที่อาจทำให้เขาเสียสิทธิ์การเป็นเจ้าของทีม

ก่อนที่ในปี 2020 ตำนานประธานจอมเชือดก็ต้องปิดฉากลง หลัง ซามปารินี ต้องอำลาโลกไปด้วยวัย 80 ปี ขณะที่ ปาแลร์โม สโมสรเก่าของเขา กำลังดิ้นรนอยู่ในเซเรียบี หลังจากถูกลดชั้นลงไปเล่นใน เซเรีย ดี ตั้งแต่ปี 2019 จากปัญหาทางการเงิน