ในวัย 35 ปี สำหรับกองหน้าหลายคน อาจจะเป็นแค่ตัวอะไหล่หรือแบ็คอัพ แต่ไม่ใช่สำหรับ ดาริโอ ฮูนเนอร์ เมื่อเขายังสนุกกับการยิงประตูในลีกสูงสุด จนคว้ารางวัลดาวซัลโว เซเรียอา มาครองได้อย่างเหลือเชื่อ
และนี่คือเรื่องราวของอดีตหนุ่มโรงงาน ที่ต้องลาออกจากมาเตะฟุตบอล ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงของยุค แต่กลับไม่เคยติดทีมชาติแม้แต่นัดเดียว
ติดตามไปพร้อมกัน
อันที่จริงชีวิตของ ฮูบเนอร์ ก็ไม่ต่างจากเด็กที่บ้าบอลทั่วไป ที่หลงใหลในเกมลูกหนัง เพียงแค่เส้นทางของเด็กหนุ่มเชื้อสายเยอรมันคนนี้ ไม่ได้เริ่มต้นกับทีมเยาวชนของสโมสรอาชีพเหมือนหลายคน แต่เป็นโรงงานอลูมิเนียม
เขาเริ่มต้นทำงานในฐานะเด็กฝึกงานกับโรงงานแห่งนี้ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมต้น ในตอนนั้น ฮูบเนอร์ ยอมรับว่าตอนนั้นเขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นนักเตะอาชีพด้วยซ้ำ และคิดว่าตัวเองน่าจะต้องทำงานหนักวันละ 10 ชั่วโมงเพื่อหาเลี้ยงชีพ
แต่ด้วยความที่เขาชอบเล่นฟุตบอลมาก ทำให้ ฮูบเนอร์ มักจะใช้เวลาว่างในช่วงสุดสัปดาห์เตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ อยู่เสมอ และได้ไปเล่นให้กับ มักเจีย ทีมในท้องถิ่น ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เพียวิจินา ทีมคู่แข่งร่วมเมือง
และที่นี่ก็ทำให้ฝีเท้าของเขากลายเป็นที่ประจักษ์ เมื่อเขายิงประตูให้ทีมได้ไม่น้อย จนทำให้เพื่อนร่วมทีมต้องโทรไปหาเฮดโค้ชของ เปอร์โกเครมา ทีมในดิวิชั่น 4 ของอิตาลี ว่านี่อาจจะเป็นกองหน้าที่พวกเขาต้องการ
เฮดโค้ช เปอร์โกเครมา ตอบรับคำชวนและเข้ามาดูฟอร์มของ ฮูบเนอร์ ด้วยตัวเอง และประทับใจในฝีเท้าของกองหน้าจากนอกลีกคนนี้ จนชวนไปทดสอบฝีเท้า และได้เซ็นสัญญาในที่สุด
มันคือสัญญาฉบับแรกในชีวิตของ ฮูบเนอร์ ที่ต้องลาออกจากโรงงานเพื่อเริ่มต้นนักเตะอาชีพด้วยวัย 22 ปี และมันก็เป็นการตัดสินใจไม่ผิด เมื่อเขายิงให้ทีมได้ถึง 11 ประตูจาก 30 นัด ในฤดูกาล 1988-1989 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ ฟาโน ที่อยู่ในดิวิชั่น 4 เหมือนกันในปีต่อมา
ที่ ฟาโน เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ของ ฮูบเนอร์ เมื่อเขาได้มีโอกาสร่วมงานกับ ฟรานเซสโก กุยโดลิน ที่ต่อมาได้เป็นกุนซือของ อตาลันตา, อูดิเนเซ, โบโลญา และปาแลร์โม
กุยโดลิน เคี่ยวเข็ญ ฮูบเนอร์อย่างหนัก ด้วยรูปแบบการซ้อมแบบมืออาชีพ และทำให้อดีตกองหน้าจากนอกลีก ต้องทำงานหนักขึ้น ไปพร้อมกับขัดเกลาสัญชาติญาณหน้าปากประตูให้เฉียบคมขึ้น
อย่างไรก็ดี กลับมีสิ่งหนึ่งที่ กุยโดลิน ห้าม ฮูบเนอร์ ไม่เคยได้ นั่นคือการสูบบุหรี่เขามักจะมาพร้อมกับบุหรี่อยู่ในมือเสมอ และไม่เคยหยุดสูบแม้ทั่งตอนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรองข้างสนาม
แต่ถึงอย่างนั้น ฮูบเนอร์ ก็พิสูจน์ตัวเองได้ว่า แม้ว่าเขาจะเป็นสิงห์อมควัน แต่ผลงานในสนามก็ไม่เคยตกลง ก่อนจะตอบแทน กุยโดลิน ด้วยการยิงประตูจนคว้าดาวซัลโวลีก พร้อมช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในเซเรีย ซี1 ได้สำเร็จ
ฮูบเนอร์ อยู่ค้าแข้งกับ ฟาโน 3 ปี จนกระทั่งในปี 1992 เขาจะได้ย้ายไปอยู่กับ เซเซนา สโมสรในเซเรียบี นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับเขา กับการที่ชายคนหนึ่งที่จินตนาการว่าตัวเองต้องทำงานใช้แรงงานเพื่อเลี้ยงชีพ และเตะฟุตบอลเป็นงานอดิเรก ได้เซ็นสัญญากับทีมระดับดิวิชั่น 2 ของประเทศ
ทั้งนี้ แม้จะขึ้นไปเล่นในลีกที่สูงขึ้น แต่ฝีเท้าของ ฮูบเนอร์ ไม่ได้เปลี่ยนไป เขาใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถปรับตัวเข้ากับทีม ก่อนจะฝากผลงาน 10 ประตูจาก 34 นัดในฤดูกาลแรก และกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนบอล เซเซนา
จุดเด่นของ ฮูบเนอร์ คือร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาพร้อมที่จะชนกองหลังทุกคนที่เข้ามาประกบ จนทำให้ได้รับฉายาจากแฟนบอลเซเซนาว่า “ทาแทนกา” ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวอินเดียแดงตั้งให้ควายไบซัน ที่ร่างกายแข็งแรง แต่มีความว่องไว
“ผมชอบมันนะ มันเหมาะกับผม ผมไม่ได้ดูสง่างามอยู่แล้ว” ฮูบเนอร์ กล่าวในเวลาต่อมา
ที่ เซเซนา ฮูบเนอร์กลายเป็นเครื่องจักรถล่มประตูให้ทีม เขายิงได้สองหลักทุกครั้ง ตลอด 5 ฤดูกาลกับ เซเซนา โดยเฉพาะฤดูกาล 1995/1996 ที่ซัดไปถึง 22 ประตู จนคว้าดาวซัลโวสูงสุดของ เซเรีย บี
ทั้งนี้ แม้จะมีช่วงเวลาที่สวยงามในถิ่น สตาดิโอ ดิโน มานุซซี่ แต่การที่ เซเซนา ต้องร่วงตกชั้นลงไปในเซเรีย ซี ทำให้ ฮูบเนอร์ ต้องย้ายทีม และมาได้ เบรสชา ที่เพิ่งเลื่อนชั้นไปเล่นในเซเรีย อา มารับตัวไป
มันคือการลงเล่นในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับ ฮูบเนอร์ เมื่อแข้งวัย 30 ปีในตอนนั้น สร้างปรากฎการณ์ตั้งแต่นัดแรก ด้วยการยิงประตูเบิกร่องให้ เบรสชา ในเกมเปิดฤดูกาล กับ อินเตอร์ มิลาน ทีมรักในวัยเด็ก
แม้สุดท้าย ทีมจะต้องพบกับ ความปราชัย แต่ชื่อของ ฮูบเนอร์ ก็ถูกพูดถึงไปทั่วอิตาลี ก่อนที่เขาจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผลงานในนัดแรกไม่ได้ฟลุ๊ค ด้วยการซัดแฮตทริคใส่ ซามพ์โดเรีย ในนัดต่อมา
หลังจากนั้น ฮูบเนอร์ ก็ซัลโวประตูให้ทีมอย่างต่อเนื่อ จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่มีความเร็ว หรือความสามารถในลากเลื้อยผ่านคู่ต่อสู้ แต่มันก็ทดแทนได้ด้วยลูกยิงอันทรงพลัง และการเล่นลูกกลางอากาศ ที่หากได้อยู่ในกรอบเขตโทษ เขาคือตัวอันตรายอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ เขายังสามารถเอาตัวรอดในลีกสูงสุดที่เต็มไปด้วยกองหลังระดับพระกาฬ ไม่ว่าจะเป็น เปาโล มัลดินี, ฟาบิโอ คันนาวาโร หรือ ลิลิยง ตูราม และซัดประตูให้ เบรสชา ไปถึง 16 ลูกจาก 30 นัด แม้ว่าสุดท้ายอาจจะไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นก็ตาม
และถึงแม้ว่าทีมจะตกชั้น แต่ ฮูบเนอร์ ก็ยังลงไปช่วยยิงประตูให้ เบรสชา ต่อในเซเรียบี ก่อนจะซัดไปถึง 42 ประตูใน 2 ฤดูกาล และทำให้ เบรสชา เลื่อนกลับมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูกาล 2000-2001
แต่เหนือสิ่งอื่นในคือในฤดูกาลนั้น ฮูบเนอร์ ได้มีโอกาสร่วมงานกับ โรแบร์โต บักโจ ศิลปินลูกหนังแห่งอิตาลี ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันยิงประตูรวมกันถึง 27 ประตู และทำให้ เบรสชา จบในอันดับ 8 ของลีก พร้อมได้ตั๋วไปเล่นฟุตบอลอินเตอร์ โตโต คัพอีกด้วย
อย่างไรก็ดี นั่นก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายของ ฮูบเนอร์ ในสีเสื้อ เบรสชา เมื่อเขารู้ดีว่าด้วยอายุอานามที่อยู่ในวัย 34 ปีแล้ว อาจจะทำให้เขาไม่ได้รับการการันตี ตำแหน่งตัวจริงอีกต่อไป จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ปิอาเซนซา ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา
ตอนนั้น หลายคนเชื่อว่า ฮูบเนอร์ ไปเล่นที่นั่นเพื่อรอวันแขวนสตั๊ด แต่ความเป็นจริง มันคือฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เมื่ออดีตหนุ่มโรงงานคนนี้ ซัดประตูได้เป็นว่าเล่น ด้วยการยิงไปถึง 7 ประตูจาก 7 นัดแรก ก่อนจะจบซีซั่นด้วยจำนวน 24 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวของลีก ร่วมกับ ดาวิด เทรเซเกต์
ผลงานดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวได้ (ในวัย 35 ปี) แต่ยังทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ จิโอวานนี ตราปัตโตนี เรียกเขาติดทีมชาติอิตาลีไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อีกด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ถูกเลือก
ฮูบเนอร์ อยู่กับ ปิอาเซนซา อีกฤดูกาล และยิงไปถึง 14 ประตู จาก 25 เกม ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ อันโคนา ในซีซั่นต่อมา แต่ทีมประสบภาวะล้มละลาย ทำให้เขาต้องย้ายทีมอีกครั้งไปเล่นให้ เปรูจา และอีกหลายทีมในลีกล่าง จนแขวนสตั๊ดในปี 2011 ด้วยวัย 43 ปี
ปัจจุบัน ฮูบเนอร์ ยังคงสนุกอยู่กับฟุตบอลที่เขารัก เช่นกันกับการสูบบุหรี่และทั้งสองสิ่งนี้ ก็คงเป็นแพชชั่นหลัก ที่ทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
“ผมสูบบุหรี่ ผมจึงวิ่งไม่มาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเล่นอยู่” ฮูบเนอร์ กล่าวกับ Watson
“ผมชอบเล่นฟุตบอล สำหรับผมมันคือความสนุกสนานอย่างแท้จริง และความสุข รักษาร่างกายให้แข็งแรง ตอนที่สามารถสนุกสนานได้อยู่ แล้วจะต้องการอะไรอีกหรือ”
กรุณาแบ่งปันโดยคลิกที่ปุ่มนี้